เทศน์พระ

เสียรู้

๑ ก.ย. ๒๕๕๙

 

เสียรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอ้า ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้มา เห็นไหม เรามาลงอุโบสถ อุโบสถสังฆกรรม เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์นี้คร่ำครวญมากนะ พระอานนท์คร่ำครวญ พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน พระอานนท์คร่ำครวญมากว่าอยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตต่อไป เพื่อจะได้อบรมดูแลพระอานนท์ พระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นหมดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอะไร เห็นหมดเพราะว่าเป็นผู้อุปัฏฐาก อยู่ด้วยกันด้วยความใกล้ชิดไง นี่ด้วยความใกล้ชิด ด้วยความเคารพรัก เห็นไหม ทำสิ่งใด เตรียมสิ่งใด ทำด้วยน้ำใจไง พอทำเสร็จแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน คนอยู่ด้วยกันจะพลัดพรากจากกันไง อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ต่อไปเพื่อได้อบรมพระอานนท์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติใครไปเลย เราจะเอาสมบัติของเราไปเท่านั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราได้ตรัสไว้แล้ว เราได้บัญญัติไว้แล้ว นั่นจะเป็นศาสดาของเธอๆ” จะเป็นศาสดาของพระอานนท์ไง “อีกสามเดือนข้างหน้าเขาจะมีการสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

ในวันนั้นๆ ด้วยคุณงามความดีไง ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม “อานนท์ ต่อไปถ้าคนที่จะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตต่อไปข้างหน้า จะไม่มีใครทำได้เกินพระอานนท์ จะไม่มีใครทำได้เกินมากกว่าเธอ เธอได้ทำคุณงามความดีของเธอไว้มาก” การได้ทำคุณงามความดีของเธอไว้มากนั่นน่ะเป็นอำนาจวาสนาบารมีในใจของพระอานนท์ไง แล้วพระอานนท์ เห็นไหม ทำสังคายนาๆ “ต่อไปอนาคตอีกสามเดือนข้างหน้า เราปรินิพพานไปแล้ว สามเดือนข้างหน้าเขาจะมีการทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น”

จะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้นเพราะอะไร เพราะว่าพระกัสสปะ เห็นไหม ได้บัญญัติไว้ว่า จะขอให้เป็นพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ทำการสังคายนา พระอรหันต์คือว่าพระที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีลำเอียงเข้าข้างใครทั้งสิ้น บัญญัติธรรม เรามาเรียบเรียงธรรมไว้ด้วยความเป็นธรรมๆ เพราะเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้นใช่ไหม

แต่พระอานนท์ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เห็นไหม ด้วยความเป็นพระอรหันต์ของพระอานนท์ที่ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนั้น แล้วพระอานนท์เป็นพหูสูต เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับธรรมวินัยไว้มาก เห็นไหม สิ่งใดถ้าจะทำสังคายนาก็ต้องมีเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุเป็นผู้ที่ฟังจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น เห็นไหม

เนี่ยด้วยอำนาจวาสนาบารมี คำว่าอำนาจวาสนาบารมีนะ อำนาจวาสนาคือทำคุณงามความดีไว้ สร้างสมความดีไว้ในใจจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย จนคิดแต่เรื่องดีๆ ไง อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ยบ่มเพาะมาๆ

แต่ด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ในใจของพระอานนท์ พระอานนท์ก็ยังไม่ได้แก้ไขอวิชชาในใจของพระอานนท์อันนั้น นี่อวิชชาๆ ไง ดูสิ เป็นพระโสดาบันๆ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ความทิฐิมานะในตัวตนมันไม่ยืดมั่นถือมั่น แต่ว่าอวิชชาความไม่รู้ที่สิ่งละเอียดเข้าไป เห็นไหม ได้ฟังธรรมๆ อันนั้นมา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องเป็นการประพฤติปฏิบัติของพระอานนท์นั้นเอง ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านเอง

ธรรมวินัยที่เราบัญญัติไว้เป็นศาสดาของเธอ วันนี้เราจะมาลงอุโบสถกัน เห็นไหม ปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อเป็นปาฏิโมกข์ๆ เห็นไหม สิ่งที่เป็นปาฏิโมกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ๆ เรามาลงอุโบสถๆ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เห็นไหม เราเข้าหมู่เข้าคณะ เพื่อมาเคาะสนิมในใจของตน

สิ่งใดที่ทำได้ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ แล้วทำไม่ได้นี่เราจะไม่ทำสิ่งนั้น เห็นไหม ถ้าไม่ทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร เพื่อให้มันสะอาดบริสุทธิ์ไง เพื่อให้จิตใจมันมั่นคง มั่นคงในการประพฤติปฏิบัติไง ถ้ามั่นคงในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม คนถ้ามีกำลังใจๆ คนมีกำลังใจทำสิ่งใดก็ทำได้ไง เวลาคนเสียกำลังใจ เสียใจๆ อ่อนแอ ล้มลุกคลุกคลานไปทั้งนั้น เวลามันเสียใจไง แต่ถ้าคนมีกำลังใจๆ กำลังใจมันมาจากไหน กำลังใจ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านให้อาวุธ เห็นไหม คอยเตือน คอยให้สติ คอยชี้ทางให้ นั่นให้อาวุธๆ นะ นั่นก็หยิบยืมเขามา หยิบยืมเขามาไง

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม เรามีสำนึกตนๆ ถ้าสำนึกแล้ว ดูเราสำนึกสิ เรามีศรัทธามีความเชื่อ แหม มันองอาจกล้าหาญนะ มันจะทำให้ได้ๆ เลย แต่ทำไม่ได้ๆ มันเป็นงานอันละเอียด เห็นไหม เวลากรรมกรเขาแบกหาม เห็นไหม เวลาพระที่ปฏิบัติเขาบอกเขาอยากจะเห็นทุกข์ เขาแบกก้อนหินขึ้นเขาลงเขานะ คือเขาพยายามจะทำงานจะบริหารให้ได้ว่าเห็นทุกข์ เห็นทุกข์ได้ มันเป็นไปไม่ได้

ถ้ามันเป็นไปได้นะ กรรมกรแบกหามเขาก็ทุกข์ยากนะ กรรมกรแบกหามเขาบอกเลย เขามีครอบครัว เขาจะส่งเสียลูกเขาให้มีการศึกษา จะไม่ให้ทำงานกรรมกรอีกแล้ว จะให้ทำงานโดยทางวิชาการ ทำงานโดยวิชาชีพของเขา เขาพยายามส่งเสียลูกของเขาๆ ให้มีการศึกษา มีการศึกษาจะได้มีหน้าที่การงานที่ดี ไม่อยากให้เป็นกรรมกรเหมือนพ่อเหมือนแม่ พ่อแม่เป็นกรรมกรอาบเหงื่อต่างน้ำมีความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเป็นความทุกข์ความยากในวิชาชีพไง ในการดำรงชีพไง มันก็บอกทุกข์ๆ ทุกข์มันก็เป็นวิบาก มันไม่เห็นต้นขั้วของทุกข์ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนที่ปฏิบัติไม่มีสติปัญญา เห็นไหม อาบเหงื่อต่างน้ำว่าอยากเห็นทุกข์ๆ มันจะเห็นที่ไหน แต่คนที่มีสติปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามาแล้ว ใจมันสงบระงับเข้ามาแล้ว เห็นไหม นี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามันจะเห็นทุกข์ เห็นทุกข์จากหัวใจไง ถ้าเห็นทุกข์มาจากหัวใจ มันเห็นทุกข์ไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ไอ้นี่เราไม่เห็นทุกข์ เรารู้จักขี้ของทุกข์ๆ ทุกข์มันถ่ายไว้ให้ อวิชชามันถ่ายไว้ให้ แล้วมันก็ทุกข์ๆๆ ทุกข์ก็ทุกข์ยังไง แล้วแก้ยังไง มันวัวพันหลัก ยิ่งหมุนวนอยู่อย่างนั้น มันยิ่งรัดคอมากขึ้นๆ แล้วก็บ่นๆๆ บ่นกัน มันเป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องโลกๆ ไง เป็นการจำมา เราไปดูงานๆ แล้วก็ดูงานก็จะมาทำของเรา จำของเขามา เราทำไม่ได้ ทำไม่เป็น

แต่ถ้านวัตกรรมของเรา เราคิดค้นของเรา เราฝึกหัดของเรา เราพยายามทำของเราขึ้นมา มันเป็นของเราใช่ไหม มันเป็นของเราที่เราวิเคราะห์วิจัยของเราขึ้นมาเอง เราทดสอบของเราเอง เราทำของเราเองไง ถ้าทำของเราเอง มันจะเป็นความจริงๆ ความจริงขึ้นมาเนี่ย ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา นี่คำว่าอยากจะเห็นทุกข์ๆ อยากเห็นทุกข์เราก็ต้องขวนขวายของเราไง ขวนขวายของเรานะ อย่าให้เสียรู้ เสียรู้กิเลสไง

เวลาคนที่เขาจะคบหากันว่าเป็นมิตรเป็นสหายกัน เขาก็ต้องศึกษานิสัยใจคอกัน ศึกษาใจคอว่าไว้วางใจกันได้เขาถึงจะเป็นสหายกัน วางใจแล้วเป็นสหายกัน คนรักกันๆ คนที่เสียรู้กัน คนที่ทำลายกัน มันเสียใจมากนะ คนอื่นเขาคดเขาโกงเขาเป็นคนอื่น ก็เพราะเขาฉลาด เราโง่กว่าเขา คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด เราโง่กว่าเขา เราเสียรู้เขา ถ้าเราเสียรู้เขา เราก็เสียใจเป็นธรรมดา

แต่เราคบหากันจนเป็นมิตรเป็นสหายกัน เป็นมิตรสหายกันยังมาฉกชิงวิ่งราว มาลักของกันเอง เห็นไหม ไอ้นี่มันเสียรู้คนกันเอง เสียรู้เพื่อน พูดถึงว่ามันยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่เลย แล้วอย่างนี้เราเกิดมา เกิดมาด้วยอวิชชา เกิดมาด้วยความไม่รู้ กิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจของเรา เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราอยากจะมาประพฤติปฏิบัติ เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราจะค้นคว้าการกระทำของเราให้มีดวงตาเห็นธรรม ให้มีสัจธรรมขึ้นมา แล้วเราก็มาเสียรู้กิเลสของเราเองไง เสียรู้ความรู้สึกของเราเอง มันยิ่งน่าเสียใจเข้าไปใหญ่ เห็นไหม เราเสียรู้ เสียรู้คนนอก เห็นไหม เสียรู้คนทั่วไปก็ธรรมดา คนโง่เป็นเหยื่อคนฉลาด เราประมาทเลินเล่อเอง เราไปเสียรู้เขามันก็เสียใจนะ มันเสียใจมา มันเสียใจว่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่น่าทำกัน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มีศีล ศีลมีแต่ความเสมอภาคกัน ศีลมีแต่ความเห็นอกเห็นใจกัน ศีลห้า เห็นไหม ไม่โกหกมดเท็จกัน ไม่ฉกชิงวิ่งราวของใคร ไม่ลักทรัพย์ของใคร ไม่หยิบฉวยของใครทั้งสิ้น ถ้ามันมีศีล แต่นี่มันเป็นชาวพุทธๆ มันทุศีล มันมีศีลแต่ปาก แต่มันไม่ทำเป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันเป็นปัญหาสังคม เห็นไหม สังคมเขามีอยู่กันอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลกไง แต่ของเราๆ ก็คัดเลือกคัดแยกของเราเองทั้งนั้น เราจะเอาคนดีๆ เราจะเอาแต่หมู่คณะดีๆ เราจะคบแต่เพื่อนดีๆ แต่เพื่อนดีๆ มันก็ไว้ใจไม่ได้เพราะมันมีความจำเป็นของเขา เวลาเขาบอกว่ามันเป็นความจำเป็นของเขา เขาก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเขา เขาก็หยิบฉวยของเราไป มันเป็นวิสาสะ ไอ้เราก็เสียใจ

แต่จริงๆ แล้ว เวลาเรามาบวช เห็นไหม เวลาบวช บวชแล้วมันก็เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์มันก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วล่ะ อุปัชฌาย์อาจารย์ยกเข้าหมู่แล้วให้เราประพฤติปฏิบัติไง เราก็มีความตั้งใจดี ตั้งใจดี อยากทำคุณงามความดี แต่คุณงามความดี ความดีน่ะทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำความดีของเราเข้าไป มันจะมีสิ่งใดที่มากระทบกระเทือนมันเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลก มันเป็นวิบากกรรม สภาคกรรม เราต้องมาเจอสังคมอย่างนี้เอง สังคมที่ดีๆ ขึ้นมา ทำไมเราไม่ไปเจอสังคมอย่างนั้น ทำไมเราเจอแต่สังคมที่มันมีแต่การกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา

แต่ถ้าเราเลือกเราเฟ้นของเราเองมานี่ เรามีครูบาอาจารย์ เรามีหมู่คณะที่ไว้วางใจได้ เราทำสิ่งใด เห็นไหม ทำผิดพลาดไป เห็นไหม เพื่อนแท้ ถ้าเพื่อนแท้ขึ้นมา เรามีความผิดพลาดสิ่งใดเขาจะคอยเตือนเราคอยบอกเรา เห็นไหม เพื่อนเทียม คนเทียมมิตร มิตรแท้มิตรเทียมไง ถ้ามิตรเทียม มิตรปอกลอกไง เราก็หลบหลีกของเรา นี่เป็นเรื่องข้างนอกไง เรื่องข้างนอกมันเป็นคติธรรมนะ

แต่พอมี เราไม่เสียใจเรา เรายังมีกำลังใจของเรา เห็นไหม เรายังไม่เสียใจ ไม่ให้ใจมันหายไป ไม่ให้มีแต่ความอ่อนแอ เห็นไหม เราไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย เห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น การกระทำแล้ว มันก็ต้องเป็นอนิจจัง มันก็แปรปรวนของมันไป สัพเพ ธัมมา เห็นไหม สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น สัตว์ที่เกิดขึ้นร่วมโลก สัตว์ที่เกิดมาด้วยผลของวัฏฏะ ใครจะกระทบกระเทือน ใครจะทำยังไง มันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ

แต่จริงๆ เราจะมาประพฤติปฏิบัติ มันก็ยังมีกิเลสมาหลอกอยู่นี่ ก็ตั้งใจๆ แล้ว ก็ทำความดีก็อยากจะทำเต็มที่แล้ว นี่ไง เราเสียรู้กิเลสเราเอง ถ้าเราไม่เสียรู้กิเลสนะ กิเลสมันจะเข้มแข็งขนาดไหน มันจะอุกฤษฏ์ขนาดไหน เราก็จะสู้กับมันไง เราสู้กับกิเลสของเรา ถ้ากิเลสของเรา เห็นไหม มีวัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติ เห็นไหม วัตรปฏิบัติคือว่าในสังคมสงฆ์นั้น เขาวินิจฉัยแล้ว ลงใจกันแล้วว่าเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็ควรทำให้เหมือนกันไง

ถ้าเราจะทำสิ่งใดที่มันแตกต่างนะ ในสมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราอยู่ด้วยกัน เห็นไหม ใครจะทำสิ่งใดที่มันจะกระทบกระเทือนกัน จะมีเสียงดังต่างๆ เขาขออนุญาตนะ เขาบอกกล่าวกันนะ หมู่นะ วันนี้กระผมมีความจำเป็น ผมจะทำสิ่งนี้อย่างนี้นะ เขาขออนุญาตกันนะ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ จะทำอะไรก็จะทำ จะทำอะไร จะกระทบกระเทือนใครมันก็เรื่องของเขา สิทธิของเรา เราเป็นคนใหญ่คนโต มันไร้สาระน่ะ นี่พูดถึงวัตรปฏิบัตินะ แม้แต่วัตรปฏิบัติแล้วมันยังเป็นข้อตกลงของสงฆ์ มันเป็นข้อตกลงร่วมกัน ถ้ามันเป็นข้อตกลงร่วมกัน เราไม่ทำกระทบกระเทือนใคร ฉะนั้น ถ้าไม่กระทบกระเทือนใคร นี่มันเรื่องของหมู่สงฆ์ เรื่องของวัตรปฏิบัตินะ

เพราะมีวัตรปฏิบัติ เราถึงเป็นพระ ดูสิ เราเป็นภิกษุ ภิกษุดำรงชีพต่างจากคฤหัสถ์ ดูสิ คฤหัสถ์เขา ฆราวาสเขา เขาต้องมีวิชาชีพของเขา เขาทำงานของเขา เขาอยู่ในศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ก็เป็นคุณงามความดีของเขา เขาเป็นอุบาสก เขาทำของเขา

เรามาบวชเป็นพระๆ เราบวชเป็นพระ ศีล ๒๒๗ แล้ว เราไม่ดำรงชีพแบบคฤหัสถ์เขา เราดำรงชีพแบบพระๆ แล้วพระนี่ แล้วพระที่เห็นภัยในวัฏสงสาร มันเห็นภัยในวัฏสงสาร ทำสิ่งใดที่เป็นเรื่องนอกจากการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องไร้สาระแล้วนะ แล้วพระเรา เห็นไหม สิ่งใดที่วัตรปฏิบัติมันเป็นความจำเป็น ความจำเป็นเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งนี้ในเมื่อบริษัทสี่ ในเมื่อมีการอยู่ในสังคมเดียวกัน เห็นไหม เขาจะมีบุญกุศลของเขา เขาอยากจะสนทนาธรรมกับพระ พระผู้เป็นนักรบ มันเป็นวิสาสะ มันเป็นการเกี่ยวเนื่องกันโดยการดำรงชีพ ไอ้นี่มันเป็นความจำเป็นๆ เห็นไหม ความจำเป็นนี่เป็นที่อยู่ของผู้มีศีล ถ้าผู้มีศีลเขาเข้ามาไม่มีขอบเขตเลย มันจะเป็นทรงศีลได้ยังไง ทรงศีลมันก็ต้องอยู่ในกรอบสิ ในกรอบของศีล มีกรอบแล้วก็ต้องมีวัตรปฏิบัติไง พอมีวัตรปฏิบัติเข้ามาแล้ว เมื่อเขาเข้ามาแล้ว เขาจะเห็นกิริยาของพระนี่ไง

“อานนท์ เราบอกเธอไว้แล้ว เราจะเอาสมบัติของเราไปเท่านั้นเอง ธรรมและวินัยที่เราตรัสไว้แล้วจะเป็นศาสดาของเธอ”

ธรรมและวินัยที่ตรัสไว้แล้ว ข้อปฏิบัติมันก็มีอยู่ในนี้ไง อยู่ในเสขิยวัตร เสขิยวัตรของเรา เสขิยวัตรนะ บิณฑบาตเป็นวัตร ไม่ฉันดังจุ๊บๆ ไม่ซด แล้วไม่ฉัน ไม่เคาะบาตรต่างๆ ไม่ขอดบาตร นี่ไง นี่มันเป็นวัตรปฏิบัติ มันอยู่ในเสขิยวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร เข้าไปในบ้านในเรือน เราจะไม่นั่งชันเข่า เราจะไม่นั่งรัดเข่า เราจะไม่นั่งเท้าแขน เสขิยวัตร เดี๋ยวจะสวดปาฏิโมกข์นี่

นี่มันเป็นวัตรปฏิบัติๆ ใช่ไหม วัตรปฏิบัติอย่างนี้โยมเขาก็ศึกษาเหมือนกัน เพราะเขาศึกษา เห็นไหม เวลาศึกษาศาสนาวันอาทิตย์ เขาก็มีนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เขาก็เข้าใจได้ ถ้าเข้าใจได้ เห็นไหม มันเป็นวัตรปฏิบัติ ฉะนั้นเขามาวัดมาวาเขาก็มาดูพระ ถ้าพระนี่มีความจำเป็นไง ถ้าความจำเป็นนะ ถ้ามีวัตรปฏิบัตินะ นี่เป็นข้อตกลงของสังคมนั้น สังคมนั้นไง ดูสิ พระบ้านเขาก็ทำข้อตกลงของเขา ในสังคมนั้นเขายอมรับกันอย่างนั้น

แต่ถ้าวัตรปฏิบัติของเรา พระป่าๆ เห็นไหม พระป่าเขาวัดกันด้วยศีลนะ ถ้าศีลมันเป็นปรกติ เห็นไหม เข้าทางจงกรม เดินจงกรมนี่ปลิวเลย เดินตัวปลิวเลยนะ แต่ถ้ามันมีอาบัติ ถ้ามันผิดพลาดไว้ เดินตัวไม่ปลิวแล้ว กิเลสมันรัดขาไว้ วิตกกังวลไปหมด มันจะเสียรู้กิเลสแล้ว ทั้งๆ ที่เราเป็นคนทำเองนะ ทำดีเราก็ทำ ทำชั่วเราก็ทำ ทำชั่วทำความผิดพลาดไปด้วยความขาดสติไป นั่นน่ะความชั่ว ความชั่ว ทุกกฎๆ คืออาบัติที่ชั่ว ทุกกฎๆ เห็นไหม ในการเคลื่อนไหวถ้าผิดพลาดเป็นทุกกฎหมด ทุกกฎคืออาบัติชั่วหยาบ ถ้ามันต่อไปก็เป็นปาจิตตีย์ เป็นอนิยต เป็นสังฆาทิเสส ถ้าสิ้นสุดเลย ตาลยอดด้วนเลย จบ

นี่ไง นี่พูดถึงบวชเป็นพระๆ ไง ถ้าเป็นพระมันไม่ให้เสียรู้กิเลส ถ้าไม่ให้เสียรู้กิเลสนะ กิเลสไม่เสียรู้มัน ไม่เสียรู้มัน มันก็ไม่ให้เราผิดพลาด พอไม่ผิดพลาดเราทำสิ่งใดมันก็ทำได้ แต่ถ้ามันเสียรู้มันนะ พอเสียรู้มัน มันให้ทำ พอทำเสร็จแล้วนะ กิเลสมันหายหน้าไปแล้ว คนที่รับผิดชอบคือใจไง คือที่รับผิดชอบก็คือเรานี่ เพราะกิเลสมันเกิดดับในหัวใจนั้น ถ้ากิเลสกับใจเป็นอันเดียวกันมันจะโดนชำระล้างให้ขาดไปจากใจได้ยังไง กิเลสมันอาศัยใจนั้นเป็นที่อยู่อาศัย แต่ถ้าชำระล้างสะอาดนะ ชำระล้างตั้งแต่หลานมัน ลูกมัน พ่อมัน ปู่มัน ชำระล้างครอบครัวของมันหมดสิ้นไปจากใจ เห็นไหม หมดสิ้นไปจากใจ นี่ธรรมเหนือโลกๆ มันจะพ้นจากกิเลสไปเลย

แต่ถ้ามันยังไม่พ้นจากกิเลสไป มันครอบงำ มันหลอกลวงทั้งนั้น แล้วเราไปเสียรู้มัน เสียรู้คนอื่นมันก็ทำให้เราเสียใจนะ ไอ้นี่เราเสียรู้ความรู้สึกเราเอง เราเสียรู้ในจิตใจของเราเอง เราเสียรู้มันไง เราเสียรู้ เราถึงทำแล้วไม่ได้ผล ถ้ามันทำได้ผล ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ถูกต้องดีงามไปทั้งหมด มันชัดเจนมากๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มันชัดเจนมาก ถ้าเรามีศีลเป็นความปกติของเรา เห็นไหม มันก็ต้องเกิดสมาธิขึ้นมาได้ แล้วสมาธิมันเกิดขึ้นมาแล้ว สมาธิมันคืออะไร

สมาธิมันเกิดจากจิต มันไม่ใช่จิต ถ้ามันเป็นจิต เห็นไหม จิตเรานี่ ชีวิตเราอยู่ตลอด ชีวิตเราเกิดมาจนกว่าเวลาเราตายจิตมันจะออกจากร่างนี้ไป เนี่ยจิต แล้วสมาธิอยู่ในใจเรา เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวจางไป เดี๋ยวพิจารณาขึ้น เดี๋ยวการกระทำขึ้นมาก็ฟื้นฟูกลับมา แล้วต่อไปมันก็เสื่อมไป ใช่ไหม มันเกิดจากจิต แต่มันไม่ใช่จิต เพราะมันเกิดจากจิต แต่จิตนี้มันอยู่ตลอดไปนะ จิตเรานี่อยู่ตลอดไป แม้แต่เราจะพลั้งเผลอขนาดไหน จิตก็อยู่กับเรา แต่เราเผลอต่างหาก จิตก็เป็นจิตอยู่อย่างนั้น แต่เราเผลอ เราเผอเรอ เราไม่ได้ดูแลรักษา

แต่ถ้าเราพุทโธๆ จนจิตเรามีสมาธิ จิตเราสงบระงับเข้ามา จิตสงบระงับเข้ามามันมีความสุขของมัน เห็นไหม จิตมันก็มีสมาธิขึ้นมา มีสมาธิมันก็มีความสุขของมัน แล้วความสุขของมัน เพราะความสุข เห็นไหม เราได้เสวยความสุขไปแล้ว ผลต่อไป ผลต่อไปก็เสื่อมคลายเป็นธรรมดา ถ้าเราทำของเราขึ้นมามันก็มีความสงบระงับเข้ามา นี่คือสมาธิ สมาธิเกิดจากจิตแต่ไม่ใช่จิต แต่มันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใดล่ะ มันเกิดขึ้นมาจากการระมัดระวังของเรา มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา เกิดจากเรามีสติปัญญารอบคอบ ไม่ให้เสียรู้มัน ไม่ให้เสียรู้กิเลสนะ ถ้าเสียรู้มัน เห็นไหม เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้แล้ว...

ลุ้นอยู่นั่นน่ะ ปฏิบัติไปแล้วก็ลุ้นตัวเองไป เสียท่ามันตลอด ปฏิบัติเลย ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นยังไงให้เป็นไป ขณะนี้เราเป็นคนดี เราจะประพฤติปฏิบัติ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในพุทธศาสนา เห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเป็นพระ แล้วเราก็ตั้งใจ ตั้งใจว่าเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากได้คุณธรรมในใจของเราเอง เราศรัทธาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศรัทธามาก เราศรัทธามาก เราเชื่อมั่น เพราะความเชื่อมั่น มีศรัทธาความเชื่อนี่เป็นศรัทธาจริต ศรัทธาจริตทำสิ่งใดทำด้วยศรัทธา ด้วยความมั่นคง

แต่ด้วยพุทธจริต ปัญญาเยอะๆ มีปัญญามาก พุทโธๆ มันหาเหตุหาผลโต้แย้งตลอด อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ดี อย่างนั้นก็ไม่ถูกต้อง แล้วยังไงดีล่ะ ยังไงดี นี่ไง มันต่อรองแล้ว มันต่อรอง มันใช้ปัญญามาแล้ว แล้วเดี๋ยวเราก็เสียท่ามัน พอเสียท่ามันนะ กรูดๆ เลย ถอยกรูดๆ เลย เสื่อมหมด ไร้เหตุไร้ผลของใจเลย

แต่ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราพุทธจริต เราใช้ปัญญาของเรา เราใคร่ครวญของเรา มันเป็นจริงอย่างที่เราคิดไหม ความคิดมันเป็นจริงไหม แล้วสิ่งที่เราคิดๆ เราเคยคิดมากี่ล้านๆๆ รอบแล้ว ไอ้ความคิดมันไวมาก ความคิดมันคิดมา คิดมาแล้วมีเหตุผลสิ่งใด มีคุณสมบัติอะไร มีวุฒิภาวะอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลบ้าง ตั้งสติไปสิ ตั้งสติแล้วใช้ปัญญาไล่ไปเลย ไล่ไปเลยถ้าเรามีปัญญามาก เรามีความรู้มาก ความรู้มันเยอะนัก เหตุผลเยอะนัก ไล่กันเลย ไล่กันด้วยเหตุด้วยผลนั้นล่ะ คนบ้านใหญ่ คนบ้านใหญ่คนมีปัญญามาก มันต้องใช้กำลังมาก คนบ้านหลังใหญ่ทำความสะอาดแสนยาก คนบ้านหลังนั้นกระต๊อบห้องหอ เห็นไหม ปัดสองทีสะอาดแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน มันมีปัญญามาก มีสติมาก ถ้ามันมีปัญญามาก มันไม่มีเหตุมีผลมันไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับก็ใช้ปัญญาไล่ไปเลย ไล่ไปเลย ไล่เต็มที่เข้าไป นี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาทำความสะอาดในบ้านหลังใหญ่นี้ไง แล้วทำด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ให้เสียรู้มันไง ถ้ามันเสียรู้ก็คอตกอีกแล้ว เวลาเราปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติเหมือนกัน เราบวชเป็นพระ เห็นไหม เราบวชเป็นพระมันเสมอกันด้วยศีลนะ เป็นสมมติสงฆ์ด้วยกัน ถ้าไม่เสมอกันด้วยศีลนะ เราลงสังฆกรรมกันไม่ได้ ลงสังฆกรรม เห็นไหม ต้องมีทิฐิเสมอกัน มีศีลเสมอกัน การลงอุโบสถนั้นถึงเป็นสามัคคีอุโบสถ ถ้าเราแตกต่างกัน เห็นไหม ต่างกันด้วยศีล นานาสังวาสแล้วลงอุโบสถร่วมกันไม่ได้ ต้องแยกลงอุโบสถ มีความเห็นมีทิฐิแตกต่างกันต้องแยกลงอุโบสถเลย

เรามีทิฐิเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน ศีลเราเท่ากัน เราบวชมาเป็นพระเหมือนกัน ถ้าเป็นพระเหมือนกัน เห็นไหม สิ่งนี้เราปรึกษากันได้ เราคุยกันได้ เราคุยกันได้ เราคุยกันได้ด้วยเป็นสัมมาทิฐินะ เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เราไม่ใช่คุยกันด้วยสีข้างเข้าถูกัน ถ้าเราคุยด้วยสีข้างเข้าถูกันมันไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดทั้งสิ้นเลย แล้วถ้ามันเป็นสมัยโบราณ สมัยโบราณการสื่อสารมันยังไม่ทันสมัย ฉะนั้น เวลาฟังธรรมๆ มันต้องฟังธรรมจากโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมในใจ ฉะนั้น การฟังธรรมนั้นมันแสนยาก การฟังธรรมถึงแสนยากไง

แต่ในปัจจุบันนี้นะ อินเตอร์เน็ตมันไปรอบโลกเลย ฟังที่ไหนก็ได้ ฟังยังไงก็ได้ ฉะนั้น ไอ้เรื่องที่ว่าเราต้องปรึกษากัน เราต้องคุยกันๆ เราคุยกันได้ แต่ถ้าคุยกันได้มันก็ตรวจสอบได้ พระไตรปิฎกยิ่งง่ายใหญ่เลย จะเอาฉบับไหนล่ะ มหามกุฎฯ มหาจุฬาฯ จะเอาฉบับไหนล่ะ เอาฉบับไหนเราก็กดเอาๆ เพราะอะไร เพราะทางวิชาการเขาทำทางวิชาการของเขา เขาทำไว้ว่าเป็นผลงานของเขา เป็นผลงานของเขา ผลงานกับเขามันคนละเรื่องกัน เห็นไหม

แต่ของเรา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมันเป็นผลงานของใจ ใจมันรื้อค้นเองๆ สุขทุกข์ใจมันรับรู้เอง ไม่ใช่ผลงานของใคร ผลงานอย่างนั้นเราวิเคราะห์วิจัยจากข้างนอกมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลกๆ มันเสียรู้แล้ว มันเสียรู้กิเลส เสียรู้กิเลสว่าหน้าที่ของตนไม่ทำ หน้าที่ของตน เห็นไหม นักวิชาการรอบรู้ไปหมดเลย ถามเรื่องสมาธิตอบไม่ได้

“สมาธิเหรอ สมาธินี้มันเป็น มันเป็น มันเป็นของฤๅษีชีไพรมั้ง สงสัยฤาดีชีไพรเขาทำสมาธิกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนสมาธินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็สอนเรื่องอริยสัจนะ” แล้วอริยสัจเป็นยังไงล่ะ “อ๋อ อริยสัจเหรอ อริยสัจก็เป็นธรรมะเป็นธรรมชาติไง” กฎธรรมชาติ ใครก็อธิบายได้ไง มันจะไปองค์การนาซ่านู่นน่ะ มันอ้างไปนู่น มันไม่อ้างเข้าใจมันเลยนะ มันไม่บอกเลยใจมันเป็นยังไง ฉะนั้นถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันก็ไปแล้ว จะไปทางวิชาการอะไรก็ได้ เห็นไหม เนี่ยเสียรู้แล้ว

ถ้าเสียรู้ เห็นไหม เสียรู้กิเลส กิเลสมันอยู่กับเราแท้ๆ แล้วมันขับไสให้เราไปค้นคว้าจากเรื่องภายนอก เรื่องภายนอกเรื่องของโลกนะ ดูสิ คุณภาพชีวิตๆ วิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมา ทางการแพทย์เจริญใช่ไหม อายุขัยของมนุษย์ถึงยาวขึ้น แต่เดิมอายุขัยของคน ๔๐-๕๐ ปีตายหมดแล้วด้วยอายุขัย แต่เพราะความเจริญทางการแพทย์ ความเจริญทางการแพทย์นะ เกิดมา ถัวเฉลี่ยการตายของเด็กน้อยลงๆ เมื่อก่อนการตายของเด็กนะ เกิดมาตายเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยมหาศาลเลย เพราะเรื่องสุขภาพการบำรุงรักษามันยังไม่เจริญ เดี๋ยวนี้มันเจริญขึ้นๆ

นี่ไงคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตทางวิชาการ พอคุณภาพชีวิตขึ้นมา เห็นไหม แต่เดิม เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันขาดแคลน เราก็หามาเพื่อดำรงชีพ พอทางวิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้น เดี๋ยวนี้โรคใหม่เกิดขึ้นแล้ว โรคอ้วน กินกันเยอะเกินไป เดี๋ยวนี้อุดมสมบูรณ์ อ้วนเป็นตุ่มเลย ต้องมาบำรุง โลก สิ่งที่มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของมัน ความพอดีของธรรม ไอ้นี่เรื่องโลกๆ พอขาดแคลนขึ้นไปเราก็ค้นคว้ากันทางวิทยาศาสตร์ เพื่อความเจริญๆ ไง ความเจริญๆ มันเป็นสสาร มันเป็นเรื่องวัตถุ มันก็เจริญของมันอย่างนั้นจริงๆ เจริญแล้วแต่จิตใจของคนเจริญด้วยไหม มันเจริญแต่ทางโลกไง แต่จิตใจมันต่ำต้อยไง วัตถุมันเหยียบย่ำหัวใจไง วัตถุมันเจริญขึ้นไง

นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน มันจะมีอะไรมาจุนเจือล่ะ มันก็ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ มีสิ่งใดใช้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์สมัยท่านนะ โกโก้ กาแฟ ท่านบอกว่าเอาไว้ถ่ายรูปยังไม่มีเลย อย่าว่าจะเอาไว้ฉัน เอามาถ่ายรูป ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ไม่มี เวลาฉันน้ำร้อนก็น้ำร้อน ต้มน้ำร้อนนี่ฉัน ฉันน้ำร้อนก็คือน้ำร้อนจริงๆ เวลาถึงเวลาน้ำร้อน เห็นไหม ก็ฉันน้ำร้อนกันนี่ อย่างมากก็มีน้ำตาลก้อนหนึ่ง แล้วทำไมคุณธรรมมันเจริญล่ะ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีเหตุมีผลในใจสมบูรณ์ทุกๆ องค์ มีการกระทำมันเจริญงอกงามขึ้นมา มันงอกงามขึ้นมาที่ไหน งอกงามขึ้นมาที่วัตรปฏิบัติไง

เรามีวัตรปฏิบัติ มีขอบมีเขต ไม่ไปตามอารมณ์ความรู้สึก ไม่ไปตามกระแสโลก ยิ่งกระแสโลก เห็นไหม โลกยิ่งเร่าร้อน ยิ่งเจริญขึ้นมายิ่งไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร พอไม่มีอะไรเป็นแก่นสารแล้วจะไปทางไหนล่ะ หันรีหันขวาง พอหันรีหันขวางก็เข้ามาเรื่องศาสนา เรื่องศาสนามันจะไปไหน จะไปไหน จะไปไหนศาสนาเนี่ย คนที่เข้าวัดเข้าวามาเขาต้องการอะไร เขาต้องการวิเคราะห์วิจัยศาสนาเหรอ เขาต้องการหัวใจเขาให้สงบไง เขาต้องการธรรมโอสถ ธรรมรส รสของธรรม เขาต้องการรสของธรรม รสของธรรม เห็นไหม

มันจินตนาการ เห็นไหม พอเข้าวัดเข้าวามามันก็มีวัตรปฏิบัติขึ้นมา เข้าไปในเขตอาวาสนั้น สิ่งที่วัดไม่ร้าง พระที่มีข้อวัตรปฏิบัติมันก็บ่งบอก บ่งบอกว่าความเป็นอยู่นั้นมันบ่งบอก เห็นไหม มันก็เหมือนคน จริตนิสัยของคนมันแสดงออก แสดงออกมาเขาก็มองถึงพฤติกรรมนั่นแหละ เขาจะมองเข้าไปในหัวใจของคนคนนั้น

นี่ก็เหมือนกัน วัดที่ปฏิบัติขึ้นมาเขามีข้อวัตรปฏิบัติของเขา เขามาวัดมาวาของเขาเพื่อธรรมโอสถ เข้ามาในวัด เออ มันเป็นที่สงบสงัด สมควรที่จะการปฏิบัติ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาอย่าเสียรู้มันนะกิเลสในใจนี่ เวลามันแสวงหา เห็นไหม โน่นก็ไม่ดี วัดนั้นก็ไม่ดี ที่ไหนไม่ดีหมดเลย เพราะว่ามันมีแต่ความพลุกพล่าน มันไม่มีความสงบเลย แล้วก็หาแต่วัดที่สงบ พอวัดที่สงบขึ้นมา เห็นไหม วัดสงบนะ ไม่ใช่ชื่อหลวงพ่อสงบ วัดมันสงบของมัน ถ้าสงบของมัน มันบอกถึงวัตรปฏิบัติของเขา ถ้าวัตรปฏิบัติของเขาเราอย่าไปเสียรู้มันนะ พอเสียรู้มัน นั่นสงบไง แต่ใจมันไม่สงบ มันไม่ระงับของมันไง สงบคือการนิ่ง จากการเคลื่อนไหวไปนี่มันก็สงบแล้ว ถ้าความสงบสงบของใคร ถ้าสงบของเด็กๆ เขาเรียบร้อย เขาก็มีความสงบระงับของเขา

แต่ถ้าเป็นสมาธิล่ะ เป็นสมาธินี่จิตมันนิ่ง จิตนี้มันมีคุณภาพของมัน ดูสิ นาโน เห็นไหม พุทโธๆๆๆ สิ่งที่ละเอียดมาก ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ยังไม่เห็นเลย ใจของคน ความรู้สึกของคน ดูสิ เวลาสัญญาณชีพในทางการแพทย์ เขาคอยวัด อ๊อดๆๆ นั่นสัญญาณชีพ นั่นมันเป็นเทคโนโลยี

แต่ถ้ามันเป็นใจล่ะ เวลาใจที่มันต่อเนื่องๆ พุทโธๆ เห็นไหม ที่มันสะสมๆ กันไป แล้วสะสม เห็นไหม เพราะการบริกรรมเราก็รู้ได้ คนที่บริกรรม ถ้าพุทโธๆ มันคนละอัน แล้วรู้เลย พุทโธต้องนึกต้องค้นต้องคว้า แต่เวลาพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกัน เห็นไหม คล่องตัว มันเป็นอันเดียวกัน มันพุทโธ มันจังหวะ จังหวะกับการเคลื่อนไหวเป็นอันเดียวกันไปเลย เคลื่อนไหวแล้วมีสติพร้อม สติพร้อม ถ้ามันเป็นอันเดียวกันไปเลยจนมันเคลื่อนไหวสักแต่ว่า มันมีพลังงานของมันอยู่ แต่มันไม่มีสิ่งใดแสดงตนเลย สักแต่ว่า นี่ไง ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันจะเป็นอย่างนั้นไง นี่ไง ถ้าเราไม่เสียรู้มัน

แล้วถ้ามันเสียรู้มัน นู่นก็ใช่ นู่นก็แปลก นู่นก็มหัศจรรย์ นู่นๆ นู่นก็ส่งออกแล้ว ถ้าคิดระลึกมันส่งออกแล้ว เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นไง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตมันเป็นอย่างนั้น พอเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ท่านเป็นท่านให้กำหนดพุทโธ มันพาดพิงเห็นไหม มันพาดพิงคือกระแสมันจับ พอมันจับ ถ้ามันทวนกระแสกลับ เราบริกรรม บริกรรมเพื่อความรับรู้ที่มันจะย้อนกลับ มันรู้ตัวตลอด ย้อนกลับๆ จนมันเป็นตัวของมันเอง นี่สมาธิ

สมาธิก็คือตัวจิตไง จิตที่โดยธรรมชาติของมัน โดยพลังงาน ไฟฟ้า ดูสิ ในอากาศไง ไฟฟ้าสถิตมหาศาลเลย เราใช้ประโยชน์มันได้ไหม เวลาฟ้าผ่าทีเป็นล้านๆ โวลต์เลย แล้วมันอยู่ไหน จับต้องยังไง เอามาใช้ได้มั้ย เวลาจะใช้เราก็ต้องไปสร้างโรงงานไฟฟ้านู่นน่ะ แล้วค่อยส่งกระแสไฟไปตามสายส่ง แต่บนอากาศมหาศาลเลย จับต้องมันยังไง นี่เหมือนกัน ใจของเราอยู่ไหน พลังงานอยู่ไหน แล้วจับมันยังไง แล้วพอจับขึ้นมา ถ้ามันทำได้ขึ้นมา เห็นไหม สัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นนามธรรมอยู่อย่างนั้น มันมีของมันอยู่ นั้นเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์

แต่ถ้าเรื่องของเราๆ เรื่องของเราคือการกระทำของเรานะ เราทำของเราเพื่อสัจจะเพื่อความจริง ที่เราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราเป็นนักรบ เวลานักรบขึ้นมาปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นข้อเท็จจริงในใจของเรา เป็นข้อเท็จจริงเลย เวลาตาย เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมายังไงไปยังไงนี่ไม่รู้หรอก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษามาเป็นทางวิชาการนี่แหละ เพราะเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราศึกษาแล้วศึกษาด้วยความเชื่อ ด้วยความเชื่อด้วยเหตุด้วยผลเราก็ยอมรับ เรายอมรับด้วยเหตุด้วยผลนะ แต่มันไม่ใช่ความรู้ของเรา

แต่ถ้าเป็นความรู้ของเรานะ โอ้โห เรารู้เราเห็นหมดเลย เป็นสัมมาสมาธิเราก็เป็นเอง พอเป็นเองขึ้นมาเราตั้งลำได้ เราตั้งลำได้ เราค้นคว้าของเรา เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต เวลาจิตมันไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง มันสะเทือนไปหมด นี่ไงอริยสัจ ศาสนาสอนเรื่องอะไร ศาสนาสอนเรื่องอะไร ศาสนามันเป็นยังไง เห็นพระบวชกันเต็มไปหมดเลย แล้วศาสนาเป็นยังไง ไอ้พระบวชมามันก็บุคลากรในพุทธศาสนา นี่ไง มันเป็นบุคลากรในพุทธศาสนาไง ศาสนบุคคล ศาสนพิธี ศาสนธรรม แล้วสัจธรรมๆ ล่ะ

ถ้าเป็นสัจธรรม เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมามันเป็นที่ไหน มันเป็นที่ไหน เวลาใจมันเป็นขึ้นมา ถ้าใจเป็นขึ้นมานะ เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เวลากราบธรรมๆ แล้วกราบธรรมมันเป็นสิทธิของใครล่ะ มันเป็นสิทธิเสมอภาค ทุกคนมีความรู้สึก ทุกคนมีโอกาสทั้งนั้น เพราะความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกอันนั้นมันจะเกิดขึ้นมาจากสัจจะความจริงอันนั้น

ถ้าสติ สติก็คือเกิดขึ้นจากจิต เพราะสติเกิดขึ้นจากจิต จิตดวงใดก็แล้วแต่ ดูสิ ดูต้นไม้ ต้นไม้แต่ละต้น เห็นไหม ต้นเล็กต้นใหญ่ขึ้นมาแล้วแต่ชนิดของไม้ จิตของคนก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสติ เห็นไหม สติที่มันเกิดจากจิตดวงนั้นมันจะทำให้จิตดวงนั้นมั่นคงขึ้นมา ทำให้จิตดวงนั้นไม่วอกแวกวอแว ทำให้จิตดวงนั้นๆ จิตดวงนั้น ฝึกหัดจิตดวงนั้นขึ้นมา ถ้าจิตดวงนั้นขึ้นมา เห็นไหม เราจะไม่เสียรู้ใครเลย ทั้งๆ ที่กิเลสก็อยู่ในใจเรานี่แหละ จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่กิเลสมันก็คอยทิ่มคอยตำ คอยทำให้เราผิดพลาดตลอดเวลา

แต่เรามีสติๆ เห็นไหม เราฝึกหัดขึ้นมามันก็ทำให้จิตของเรามั่นคงขึ้นมาๆ ถ้ามั่นคงขึ้นมา เห็นไหม เราทำด้วยไม่เสียรู้มัน ทั้งๆ ที่มันอยู่กับเรา แต่เราทำด้วยสัมมาทิฐิความเห็นถูกต้องดีงาม และการกระทำของเรา ด้วยความวิริยะ ความอุตสาหะ ด้วยความวิริยะความอุตสาหะ คือมันต้องมีความวิริยะความอุตสาหะ มีการกระทำขึ้นมา ต้องมีการกระทำ ทำจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เราศึกษาๆ มา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลามันเป็นขึ้นมาแล้ว นี่แหละ นี่แหละ พอเป็นขึ้นมาแล้ว เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพตรงไหน จับพลัดจับผลู ค้นหาก็ไม่เจอ ค้นหาก็แสนยาก เวลามันได้จริงๆ อ๋อ สัมมาสมาธิ

เวลาไปถามนักวิชาการ สมาธิ รู้จักสมาธิมั้ย อ๋อ สมาธินี่เป็นของพวกฤๅษีชีไพรมั้ง พุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องสมาธิหรอก พุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ แต่พอจิตมันสงบเข้ามา ครูบาอาจารย์ของเราที่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การกระทำๆ มันก็มีความสามัญสำนึกขึ้นมาเห็นไหม ไม่ให้เสียรู้ เสียรู้กิเลส ไม่ให้เสียรู้กิเลสที่มันพลิกมันแพลง ไม่ให้เสียรู้กิเลสที่มันสวมเขาให้ไง เรามีการศึกษาในพุทธศาสนา เราเป็นนักวิชาการ นักวิชาการนี่มันต้องเอาเรื่องอริยสัจ เรื่องสมาธิ สมาธิเป็นของฤๅษีชีไพร ไม่ใช่เป็นศาสนา

ถ้าเรื่องศาสนาขึ้นมา แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เหมือนเรา เราเข้ามาในวัดในวา เห็นไหม บวชเข้ามาแล้ว บวชมาใหม่ๆ ทุกคนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรก็ไม่คล่องตัวไง พอเราอยู่กันมามีความชำนาญ เราทำอะไรมันก็สะดวกสบายขึ้น ทำอะไรมันก็คล่องตัวขึ้น นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้ว จากสงบเข้ามาแล้วด้วยสติ จิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา แล้วถ้ามันฝึกหัดต่อเนื่องขึ้นไป มันจะเริ่มค้นคว้าในอริยสัจแล้ว

ถ้าจิตสงบแล้วมันจะค้นคว้าในเรื่องอริยสัจ ถ้ามันเป็นพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนา อริยสัจ สัจจะความจริง แก่นของพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร พุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจสี่ๆ อริยสัจสี่ สติปัฏฐานสี่ อริยสัจสี่ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ถ้าจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจเพราะจิตมีการกระทำขึ้นมา จิตมีการกระทำขึ้นมา จิตดวงนั้นมันมีวุฒิภาวะขึ้นมา ถ้าจิตดวงนั้นมันมีวุฒิภาวะขึ้นมา เห็นไหม มันมีการกระทำขึ้นมา มันไม่เสียรู้ใครเลย มันจะเป็นความจริงของมันขึ้นมาเลย เป็นความจริงในใจ มันจริงมันจังขึ้นมาตลอดเวลาเลย

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันสาธุ สาธุธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา ที่มีการกระทำขึ้นมาในใจ มันทำขึ้นมา มันพัฒนา มันมีการกระทำของมันขึ้นมา มันมีการกระทำซ้ำๆ ตรวจสอบ มันเจริญขึ้นมา มันเป็นขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นที่ไหน มันเป็นในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง มันไม่ได้เป็นในใจของนักวิชาการไง

ถ้าเป็นในใจของนักวิชาการ อ๋อ สมาธิมันเป็นเรื่องของฤๅษีชีไพรมั้ง พุทธศาสนาก็ไม่ได้สอนนะ ก็มันไม่ได้สอนๆ ไม่มีการกระทำ มันไม่ได้ฝึกหัดใจขึ้นมา มันไม่เป็นธรรมขึ้นมาเอง มันไม่เป็นสมบัติของตนขึ้นมา เวลาไปศึกษาๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำขึ้นมา สมาธิเราก็ได้แต่ชื่อมัน สติก็ได้แต่ชื่อมัน ปัญญาก็ได้แต่ชื่อมัน แล้วศีล สมาธิ ปัญญา สัญญาของเราเราก็ว่าเป็นปัญญาไง ความคิดของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติเป็นความจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาวางธรรมวินัยไว้ บอกพระอานนท์นะ ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ

ไอ้นักวิชาการ เวลาเราค้นคว้ากัน เราก็ค้นคว้าทางวิชาการ พอค้นคว้าทางวิชาการ เห็นไหม เราทำวิเคราะห์วิจัย วิเคราะห์วิจัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ว่าเป็นปัญญาของเราๆ ปัญญาอะไรของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยสุดยอดสูงส่งแล้ว ไม่ต้องมีใครไปค้นคว้า ไม่ต้องมีใครไปวิจัยหรอก ไอ้ที่ไปวิจัยๆ เขาวิจัยไว้ให้กับศาสนทายาทเป็นผู้ที่ได้ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วให้ปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ไอ้นี่ไปศึกษาไปค้นคว้ามาแล้วก็ว่าเป็นสมบัติของเรา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นสมบัติของใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางไว้เป็นของใคร ก็เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่ไม่ใช่เป็นของเราไง

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราไม่เสียรู้กิเลส ไม่ให้กิเลสมันทำลายโอกาสของเราไง ไม่ให้กิเลสมันทำลายเรา เห็นไหม เราก็ศึกษาของเรา เราค้นคว้าของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาเราก็ไม่เสียรู้กิเลส ไม่เสียรู้กับมัน เวลากระทำขึ้นมานะ ถ้ามันมีสติ เอ้อ เวลาขาดสตินี่ทุกข์มากๆ เลย เนี่ยว่าเป็นคนเผยแผ่ธรรมๆ มันก็อมทุกข์ ถ้ามีสติ เห็นไหม เราเผยแผ่ธรรมด้วยสติสัมปชัญญะ มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เผยแผ่ เผยแผ่ คำว่าเผยแผ่ เผยแผ่มันก็จะบวกกับความชอบของตนนะ

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้เผยแผ่ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะค้นคว้าความเป็นจริง สติเราก็ อ้อ ถ้ามีสติจริงๆ อ๋อ มันยับยั้งได้อย่างนี้ ถ้าขาดสติก็ทุกข์อย่างนี้ ถ้ามีสติบ่อยครั้งเข้าๆ แล้วถ้าจะให้ต่อเนื่องไป สติก็คือสติ สติก็คือสติ สมบูรณ์ในตัวของสติ แต่ถ้าเรามีคำบริกรรม เพราะมีสติมันถึงบริกรรม บริกรรมนี่ จิต เห็นไหม มีสติมันเกิดจากจิตมันก็ยับยั้ง ยับยั้งเดี๋ยวมันก็คิดอีกเพราะธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีสติ มีคำบริกรรม ถ้ามันจะคิดอีกก็คิดในพุทโธ คิดในคำบริกรรม เห็นไหม มันมีทางออกไง มันมีทางออกให้จิตได้ยืดหยุ่น ยืดหยุ่นให้มันสงบได้ เคลื่อนไหวเพื่อสงบ คิดเพื่อสงบ บริกรรมเพื่อสงบ เพราะสงบๆ สงบแล้วตัวตนมันก็สมบูรณ์ไง พอสมบูรณ์ขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันก็จะรู้จะเห็นจริงของมันตามความเป็นจริง ถ้ารู้จริงเห็นจริงเห็นสติปัฏฐานตามความเป็นจริง มันใช้สติใช้ปัญญาของเขา ถ้าใช้สติปัญญาของเขา เขารู้จริงเห็นจริงขึ้นมา เขาปฏิบัติของเขามันก็เป็นประโยชน์กับเขา มันก็เป็นความจริงของเขา นี่ไง ความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาๆ ศึกษามา ปริยัติเขาศึกษาให้ปฏิบัติ พอปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของเราบ้างๆ ก็เป็นความจริงไง

นี่ไง ฟังธรรมๆ เรามาลงอุโบสถกัน ลงอุโบสถสังฆกรรม ถึงเวลาแล้วต้องลงอุโบสถ คำว่าลงอุโบสถ เห็นไหม ลงอุโบสถเพื่อความสะอาดในใจของเรา เพื่อความเข้าหมู่ของเรา วุฒิภาวะ วัตรของเรา ว่าเนี่ยความเสมอภาคกันในความเป็นสงฆ์ แล้วฟังธรรมๆ ตอกย้ำ ตอกย้ำให้ทุกคนทุกองค์ต้องประพฤติปฏิบัติ ทุกองค์ต้องค้นคว้าของตน ให้เป็นความจริงของตนขึ้นมาในใจของตน ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะไม่เถียงกันเลย พระองค์นั้นว่าอย่างนี้ พระองค์นี้ว่าอย่างนั้น ไม่ต้อง

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เป็นความจริงอย่างนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคเป็นผลอย่างนั้น เป็นความเป็นจริง ศึกษามาเพื่อให้รู้จริงไง ไม่ให้ศึกษามาให้เสียรู้ พยายามจะหาความรู้แต่ไปเสียรู้กิเลส เสียรู้ความพอใจ ความชอบใจและไม่ชอบใจของตน เสียรู้แต่ความชอบและความไม่ชอบ ไปเสียรู้มันทำไม เสียรู้มันน่าเสียใจไง เขาเสียรู้กันทางโลก เสียรู้กันเห็นไหม เสียรู้แล้วเสียใจ นี่เราเสียรู้กิเลสของเรา เพราะอะไร เพราะเราไม่ตรวจสอบ เราไม่ได้ฝึกหัดของเรา ถ้าเราจะฝึกหัดของเรา เราทำของเรา เราจะไม่ให้เสียรู้มัน เราจะรู้จักกิเลส แล้วเราจะรู้จักธรรม มีคุณธรรมในหัวใจ เพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เอวัง